This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของผักกาดขาว




                                                                                   ขอบคุณภาพจาก www.seesketch.com              


ผักกาดขาว หรือ Chinese Cabbage

          เป็นพืชล้มลุกในตระกูลเดียวกับคะน้าและบล็อคโคลี่ ส่วนใหญ่เราจะนิยมรับประทานกับน้ำพริกหรือยำต่างๆ  ผักกาดขาวใบอวบๆ ฉ่ำน้ำ กรุบกรอบ เป็นผักที่รับประทานได้ทั้งสดและนำไปปรุงเป็นอาหาร เช่นต้มจืดผักกาดขาว ,หมูห่อผักกาดขาว , แกงส้ม หรือนำมาแปรรูปเป็นกิมจิ เครื่องเคียงอาหารเกาหลี เป็นต้น

ประโยชน์

  1. ลดอาการท้องผูกเนื่องจากเป็นผักที่มีเส้นใยมาก
  2. มีแคลเซียมสูงจึงช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน
  3. ป้องกันและรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน
  4. บรรเทาอาการหวัด โดยการนำผักกาดขาวไปต้มกับน้ำแล้วนำมาดื่ม
  5. บรรเทาอาการไอ และช่วยขับเสมหะ
  6. ช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ
  7. วิตามินซีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น

 บทสรุป

          ผักกาดขาวเป็นผักที่หารับประทานได้ง่ายในตลาดบ้านเรา เพราะฉะนั้นหากมีโอกาส ก็อย่าลืมนึกถึงผักกาดขาว ผักที่มีรสหวานในตัว ยิ่งนำมาล้างแล้วเอาไปแช่เย็นจะช่วยให้ผักกรุบกรอบยิ่งขึ้น ว่าแล้วก็ไปตลาดกันเถอะ ...

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

ข้าวผัดกิมจิ



สิ่งที่ต้องเตรียม


1. ข้าวสวย  1  ถ้วย
2. กิมจิ  100  กรัม
3. โกชูจัง  1  ช้อนโต๊ะ (ถ้ามีก็ใส่ ถ้าไม่มีก็ข้ามไปไม่ใส่ก็ได้)
4. กระเทียมสับ  1  ช้อนโต๊ะ
5. น้ำมันพืช  1  ช้อนโต๊ะ
6. น้ำตาล 1/2  ช้อนโต๊ะ
7. ซีอิ้วขาว  1  ช้อนโต๊ะ 
8. ต้นหอม   1 ต้น หั่นท่อน
9.  เนื้อหมูสันคอสไลต์  (ตามชอบ)
10. หอมหัวใหญ่ 1/2 หัว
11. สาหร่าย ( สำหรับโรยหน้า )

ขั้นตอนการทำ


1. ตั้งน้ำมันในกระทะให้ร้อน  ใส่กระเทียมลงเจียวให้หอม ใส่หอมหัวใหญ่ ผัดจนหอมใหญ่สุกก็นำเนื้อหมูลงผัด  ใส่กิมจิ  ผัดสักครู่  ใส่โกชูจัง  ซีิอิ้วขาว    น้ำตาลทราย    
2. นำข้าวสวยลงผัดให้เข้ากัน  ผัดสักครู่  เสร็จแล้วก็ตักใส่ชามโรยหน้าด้วยสาหร่าย....ลองทำดูนะคะ................

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

แกงกิมจิ


วิธีทำแกงกิมจิ

ส่วนผสม

1. กิมจิผักกาดขาว  1  ถ้วย
2. สันคอหมูสไลต์   100  กรัม
3. หอมหัวใหญ่ ครึ่งหัว
4. ถั่วงอก  (ตามชอบ )
5. กระเทียม  4-5 กลีบ
6. ต้นหอม  2-3 ต้น
7. เต้าหู้ขาวแบบนิ่ม 1 หลอด
8. น้ำซุป หรือ ซุปก้อน 1 ก้อน
9. พริกป่นเกาหลี (ถ้าไม่มีใช้พริกป่นของไทยก็ได้ )
10. โคชูจัง (ถ้าไม่มี ไม่ใส่ก็ได้ค่ะ)
11. น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1. ใส่น้ำมันในกระทะ นำกระเทียมลงไปเจียวให้หอม
2. นำเนื้อหมูลงผัด พอสุก ใส่หอมหัวใหญ่ ผัดจนสุกจะมีสีใส
3. นำกิมจิ( เฉพาะเนื้อไม่เอาน้ำ ) ลงไปผัดแค่ให้ผักสลด
4. เติมน้ำลงไป ใส่ซุปก้อน ใส่น้ำกิมจิ พอเดือด ใส่พริกป่น โคชูจัง
5. ใส่ถั่วงอก เต้าหู้ขาว ต้นหอม (ถ้าชอบหวานก็ใส่น้ำตาล ไม่ชอบไม่ต้องใส่ )  เสร็จแล้วปิดไฟ
6. ใส่น้ำมันงา  ตักใส่ถ้วยพร้อมเสริฟ ...

วิธีทำ กิมจิผักกาดขาว

  

ส่วนผสมผัก


1. ผักกาดขาว   2   หัวใหญ่   ( หั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ สะดวกในการกิน )
2. หัวใช้เท้า      1    หัว   ( หั่นเป็นเส้น หรือตามขวาง แล้วแต่ชอบ )
3. แครอท         1    หัว   ( หั่นเป็นเส้นๆ )
4. ต้นหอม        1    ขีด   ( หั่นเป็นท่อนประมาณ 2 นิ้ว )
5. ใบกุ้ยฉ่าย     1    ขีด   ( หั่นเป็นท่อนประมาณ 2 นิ้ว )

ส่วนผสมน้ำหมัก


  1. แป้งข้าวเหนียว 40 กรัมละลายน้ำ  นำไปต้มให้สุกโดยใช้ไฟอ่อนคนตลอดเวลา   พอแป้งสุกให้เติมน้ำตาลทรายลงไป แล้วคนให้เข้ากันทิ้งไว้ให้เย็น
  2. กระเทียมกลีบใหญ่    5    กลีบ
  3. ขิงแก่     1     หัว
  4. หอมหัวใหญ่      1     หัว
  5. แอปเปิ้ล     1     ลูก
  6. สาลี่           1     ลูก
  7. พริกป่นเกาหลี          1     ถ้วย
  8. พริกชี้ฟ้าแดง        4 - 5   เม็ด
  9. น้ำมันงา        2     ช้อนโต๊ะ
10. น้ำปลา          2     ช้อนโต๊ะ
11. โคชูจัง          3     ช้อนโต๊ะ

ขั้นตอนการทำ

1. นำผักกาดขาวมาหั่นเป็นชิ้นๆ  แล้วนำไปล้างน้ำประมาณ 2 ครั้ง

2. ใส่เกลือลงในผักที่ล้างแล้ว ควรใช้เกลือทะเล เพราะผักจะมีสีสวย
3. หมักเกลือไว้ประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง โดยจะต้องกลับด้านผักทุกครึ่งชั่วโมง เมื่อผักได้ที่แล้วจะคายน้ำออกมาเยอะมากผักจะนิ่มเหลือนิดเดียวเอง  นำผักที่นิ่มแล้วไปล้างเอาความเค็มของเกลือออกให้เกือบหมด ให้เหลือความเค็มน้อยที่สุด ล้างประมาณ 5 - 6 น้ำ ได้ แล้วชิมดู

ผักเหลือนิดเดียวเอง

4. หลังจากนั้นก็มาผสมพริกแกงกิมจิกันโดยเริ่มจาก นำพริกป่นเกาหลีไปผสมน้ำต้มสุกนิดหน่อยให้พริกนิ่มพักไว้

5. นำแป้งข้าวเหนียวผสมน้ำนำไปเคี่ยวด้วยไฟอ่อน จนแป้งสุกแล้วจึงใส่น้ำตาลทรายลงไปปิดไฟ พักไว้ให้เย็น

ใส่น้ำตาลเพื่อให้เป็นอาหารของจุลินทรีย์ใส่มากเปรี้ยวมากนะคะ

น้ำตาลละลายหมดแล้วก็ปิดไฟ
6. จากนั้นเราก็นำแอปเปิ้ล , สาลี่ , กระเทียม , ขิง , หอมหัวใหญ่ , พริกชี้ฟ้าแดงไปปั่นให้ละเอียด 


แอปเปิ้ลกับสาลี่ปั่นค่ะ


กระเทียม,ขิง,หอมหัวใหญ่ ,พริกชี้ฟ้าแดงปั่นค่ะ
7. นำเครื่องที่เราปั่นได้ไปใส่ลงในแป้งข้าวเหนียวที่เย็นตัวแล้ว ใส่พริกป่นเกาหลีที่เราแช่น้ำไว้เมื่อกี้ ใส่น้ำปลา , โคชูจัง และน้ำมันงา ผสมให้เข้ากันรอไว้

หั่นเป็นท่อนขนาดประมาณ 2 นิ้ว


อันนี้หั่นตามชอบเลยค่ะ
ใส่น้ำมันงาเพื่อสุขภาพ
8. นำผักที่เราหั่นไว้ใส่ลงไปในชามผสม




9. คลุกเคล้าให้เข้ากัน ควรใส่ถุงมือเพื่อความสะอาด (กิมจิจะได้ไม่บูด)
10. นำภาชนะที่เราจะใส่กิมจิไปลวกน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อ (กิมจิจะได้ไม่บูด เช่นกัน )
เป็นกระปุกสำหรับไมโครเวฟค่ะ ทนความร้อนได้
11. นำกิมจิที่ผสมเข้ากันดีแล้วใส่ในภาชนะ เก็บไว้นอกตู้เย็นประมาณ 1 คืน แล้วชิมดูถ้าเปรี้ยวพอแล้วก็เก็บเข้าตู้เย็น เก็บไว้กินได้นานแสนนาน ยิ่งบ่มในตู้เย็นไว้นานๆ กิมจิจะยิ่งมีรสชาติดีขึ้นเรื่อยๆ 

*** ข้อสำคัญ ต้องระวังเรื่องความสะอาดเป็นอย่างมากควรใช้ช้อนตักแบ่งแค่ให้พอรับประทานสำหรับ1ครั้ง ไม่ควรตักกินจากกระปุกเพราะจะทำให้กิมจิของเราที่ทำอย่างยากลำบาก เก็บไว้กินได้นานๆ ไม่บูดซะก่อน ***







วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของกิมจิ

       
   เป็นที่รู้กันว่าการทำกิมจิเป็นการดองผักที่ถือกำเนิดขึ้นในศตวรรษที่ 7หรือย้อนหลังไปถึงเมื่อ 2600-3000 ปีก่อน ในยุคนั้นช่วงฤดูหนาวประเทศเกาหลี จะมีอากาศหนาวจัดไม่เหมาะกับการเพาะปลูก ชาวเกาหลีจึงคิดวิธีการถนอมอาหารขึ้นมา เพื่อมาทดแทนผักสดที่หาได้ยาก
กิมจิ เป็นอาหารขึ้นชื่อของเกาหลีติดอันดับ 1 ใน 5 ของอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดในโลก มีมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ซึ่งมีประโยชน์ทั้งต่อสุขภาพและความงาม เกิดจากการนำเอาผักต่างๆเช่นกุยช่าย ผักกาดขาว หัวไชเท้า พริกแดง หัวหอม  ขิง เกลือ และน้ำตาล มาหมักรวมกัน ซึ่งคนเกาหลีถือว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการรับประทานอาหารซึ่งจะต้องมีกิมจิอยู่ด้วยทุกมื้อโดยชาวเกาหลีจะ นำกิมจิไปปรุงเป็นส่วนประกอบของอาหารด้วย เช่น ใส่ในบะหมี่  ซุปกิมจิ  ข้าวผัดกิมจิ   ไข่เจียวกิมจิ  หมูผัดกิมจิ
กิมจิ จะมีรสเผ็ด เปรี้ยว และมีกลิ่นเฉพาะตัว แต่ประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  ที่สำคัญไม่ทำให้อ้วน และช่วยให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตทำงานเป็นปกติ
ทำให้ผิวพรรณสดใสอีกด้วย


             เนื่องจากกิมจิอุดมด้วยโปรตีน วิตามินเอ (Vitamin A) ไทอะมีน บี 1 (Thiamine (B1))   ไรโบฟลาวิน บี2 (Riboflavin (B2)) วิตามินซี แคลเซียมธาตุเหล็ก และสารคาโรทีน (Carotene) นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร  สรรพคุณต่างๆในกิมจิได้มาจากส่วนผสมหลักที่ทำมาจากผักหลายชนิดซึ่งมีปริมาณของเส้นใยสูง มีแคลอรี่ต่ำ ซึ่งในกิมจิ 100 กรัม จะมีแคลอรี่อยู่เพียง 32 กิโลแคลอรี่ นอกจากนี้ หัวหอม พริกและกระเทียมที่เป็นเครื่องปรุงในกิมจิ ก็เป็นผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ กิมจิยังมีแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ที่ให้กรดแลคติก (Lactic Acid) ที่เกิดจากการหมักดองกิมจิ หลังจากการดองกิมจิไปเป็นเวลา 3 อาทิตย์ ระดับของวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินบี 12 ก็จะเพิ่มถึงเป็นสองเท่าเลยค่ะ 



             กรดแลคติกจะช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่ไม่ดีไม่ให้เจริญเติบโตภายในลำใส้ของเรา และยังมีหน้าที่ป้องกันโรคต่างๆ ได้อีกเช่นโรคอ้วน โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร และแบคทีเรียตัวนี้เอง  ที่ทำให้กิมจิมีรสเปรี้ยว เหมือนในโยเกิร์ต แต่  โยเกิร์ตที่ว่ามีกรดแลคติกอยู่ยังสู้กิมจิไม่ได้เลย  ในกิมจิมีเยอะกว่าซึ่งช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้เป็นอย่างดีช่วยยับยั้งอาการท้องผูก และมะเร็งลำไส้  ส่วนในพริกกับกระเทียมจะช่วยในเรื่องของการป้องกันการจับตัวเป็นก้อนของเลือดและการลดคลอเรสเตอรอล ( Cholesterol ) ในเลือดค่ะ