วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของกิมจิ

       
   เป็นที่รู้กันว่าการทำกิมจิเป็นการดองผักที่ถือกำเนิดขึ้นในศตวรรษที่ 7หรือย้อนหลังไปถึงเมื่อ 2600-3000 ปีก่อน ในยุคนั้นช่วงฤดูหนาวประเทศเกาหลี จะมีอากาศหนาวจัดไม่เหมาะกับการเพาะปลูก ชาวเกาหลีจึงคิดวิธีการถนอมอาหารขึ้นมา เพื่อมาทดแทนผักสดที่หาได้ยาก
กิมจิ เป็นอาหารขึ้นชื่อของเกาหลีติดอันดับ 1 ใน 5 ของอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดในโลก มีมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ซึ่งมีประโยชน์ทั้งต่อสุขภาพและความงาม เกิดจากการนำเอาผักต่างๆเช่นกุยช่าย ผักกาดขาว หัวไชเท้า พริกแดง หัวหอม  ขิง เกลือ และน้ำตาล มาหมักรวมกัน ซึ่งคนเกาหลีถือว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการรับประทานอาหารซึ่งจะต้องมีกิมจิอยู่ด้วยทุกมื้อโดยชาวเกาหลีจะ นำกิมจิไปปรุงเป็นส่วนประกอบของอาหารด้วย เช่น ใส่ในบะหมี่  ซุปกิมจิ  ข้าวผัดกิมจิ   ไข่เจียวกิมจิ  หมูผัดกิมจิ
กิมจิ จะมีรสเผ็ด เปรี้ยว และมีกลิ่นเฉพาะตัว แต่ประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  ที่สำคัญไม่ทำให้อ้วน และช่วยให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตทำงานเป็นปกติ
ทำให้ผิวพรรณสดใสอีกด้วย


             เนื่องจากกิมจิอุดมด้วยโปรตีน วิตามินเอ (Vitamin A) ไทอะมีน บี 1 (Thiamine (B1))   ไรโบฟลาวิน บี2 (Riboflavin (B2)) วิตามินซี แคลเซียมธาตุเหล็ก และสารคาโรทีน (Carotene) นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร  สรรพคุณต่างๆในกิมจิได้มาจากส่วนผสมหลักที่ทำมาจากผักหลายชนิดซึ่งมีปริมาณของเส้นใยสูง มีแคลอรี่ต่ำ ซึ่งในกิมจิ 100 กรัม จะมีแคลอรี่อยู่เพียง 32 กิโลแคลอรี่ นอกจากนี้ หัวหอม พริกและกระเทียมที่เป็นเครื่องปรุงในกิมจิ ก็เป็นผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ กิมจิยังมีแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ที่ให้กรดแลคติก (Lactic Acid) ที่เกิดจากการหมักดองกิมจิ หลังจากการดองกิมจิไปเป็นเวลา 3 อาทิตย์ ระดับของวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินบี 12 ก็จะเพิ่มถึงเป็นสองเท่าเลยค่ะ 



             กรดแลคติกจะช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่ไม่ดีไม่ให้เจริญเติบโตภายในลำใส้ของเรา และยังมีหน้าที่ป้องกันโรคต่างๆ ได้อีกเช่นโรคอ้วน โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร และแบคทีเรียตัวนี้เอง  ที่ทำให้กิมจิมีรสเปรี้ยว เหมือนในโยเกิร์ต แต่  โยเกิร์ตที่ว่ามีกรดแลคติกอยู่ยังสู้กิมจิไม่ได้เลย  ในกิมจิมีเยอะกว่าซึ่งช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้เป็นอย่างดีช่วยยับยั้งอาการท้องผูก และมะเร็งลำไส้  ส่วนในพริกกับกระเทียมจะช่วยในเรื่องของการป้องกันการจับตัวเป็นก้อนของเลือดและการลดคลอเรสเตอรอล ( Cholesterol ) ในเลือดค่ะ  

3 ความคิดเห็น:

  1. ประโยชน์เยอะจริงๆ ไม่กินไม่ได้แล้ว

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ30 เมษายน 2558 เวลา 04:45

    ดีมาก

    ตอบลบ
  3. กินกับโจ๊กค่ะเพราะลำไส้ไม่ค่อยย่อย​ อร่อยด้วยค่ะและรู้สึกว่าอาหารย่อยได้ดีขึ้น​ แต่กินทุกวัน3มื้ออาหารมาหลายเดือนแล้ว

    ตอบลบ